เมื่อเราได้มาเป็นลูกของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเจ้าได้ทรงสัญญากับเราว่าเราจะไม่มีวันสูญเสียพระวิญญาณของพระองค์ไป
แต่ในพระคัมภีร์บางตอน มันดูเหมือนว่าเราสามารถที่จะสูญเสียพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปได้ ในฮีบรู 6:4-6: “เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้ลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้ลิ้มรสความดีงามแห่งพระวจนะของพระเจ้า และฤทธิ์เดชแห่งยุคที่จะมาถึงนั้น แล้วยังหลงไป ก็เหลือวิสัยที่จะนำพวกเขามาสู่การกลับใจอีกได้ เพราะพวกเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีก และได้ประจานพระองค์ให้อับอายต่อสาธารณชน”
แต่เราจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับข้อความตอนอื่นๆในพระคัมภีร์ด้วย ตัวอย่างเช่น ตอนที่เราได้ยินว่าเปาโลพูดในโรม 8:29 และ 30 เปาโลสอนอย่างชัดเจนว่าการได้รับความรอดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดนั้นเป็นงานของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เหมือนกับห่วงโซ่ทองที่ทอดยาวจากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล
“เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น พระองค์ก็ทรงให้มีศักดิ์ศรีด้วย”
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคริสเตียนถึงสามารถกล่าวได้ว่า: “เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (โรม 8:38 และ 39) และทุกคนที่เป็นของพระคริสต์มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดูใน 2 โครินธ์ 1:21-22)
ในยอห์น 6:37 พระเยซูตรัสว่า: “สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย” ซึ่งหมายถึง: อะไรก็ตามที่พระบิดาทรงประทานให้พระเยซูพระบุตร พระเยซูจะไม่มีวันทำหายไป พระเยซูตรัสคล้ายๆกันนี้ในยอห์น 10:27-30: “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลาย แกะเหล่านั้นจะไม่มีวันพินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” และในพระกิตติคุณเดียวกันนี้พระเยซูได้เตือนเราให้คงอยู่ในพระองค์ (ยอห์น 15:4) และเช่นเดียวกันกับคำกล่าวของอัครทูตเปาโลที่เรายกมาก่อนหน้านี้ เขาก็ได้เตือนผู้คนไม่ให้สูญเสียในสิ่งที่พวกเขาได้รับมาแล้ว ตัวอย่างใน 1โครินธ์ 15:2 เขาเขียนว่า “นอกจากว่าท่านเชื่อแบบไร้ผล”
เปาโลกำลังขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า? และพระเยซูก็ขัดแย้งในพระองค์เองด้วยไหม? ไม่เลย ในท่ามกลางความยากลำบากและความกลัวของพวกเรา เราต้องยึดพระสัญญาอันแสนอัศจรรย์เหล่านี้ไว้ ว่าความรอดของเราเป็นการงานของพระเจ้าทั้งหมด และพระองค์เองจะทรงทำให้การดีที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นในเราสำเร็จจนถึงวันแห่งพระคริสต์ (ฟิลิปปี 1:6) แต่นั่นไม่ได้ทำให้คริสเตียนผู้ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้วกลายเป็นคนขี้เกียจไป
แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อก็สามารถมีประสบการณ์ของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ยูดาสน่าจะต้องมีประสบการณ์อะไรบางอย่างเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู และในวันพิพากษาสุดท้ายจะมีผู้คนพูดกับพระเยซูว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นพระเยซูจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ (มัทธิว 7:21-23)
เมื่อพระเยซูทรงรู้จักเราจริงๆ พระองค์จะทรงทำการงานอันดีในเราให้สำเร็จ แต่ว่าจะมีบางช่วงเวลาของชีวิตเราที่มืดมนจนบางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ บางครั้งพระเจ้าจะทรงซ่อนพระองค์เองจากเรา เพื่อทำให้เราแสวงหาพระองค์และรู้สึกว่าเราต้องพึ่งพาพระองค์ คริสเตียนบางคนจะต้องมีประสบการณ์ในช่วงเวลาที่มืดมนของชีวิตมากกว่าคริสเตียนบางคน แต่คริสเตียนทุกคนล้วนต้องมีประสบการณ์แบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อเราได้เกิดใหม่โดยพระวิญญาณ เราจะสามารถสูญเสียพระวิญญาณไปได้หรือไม่? ไม่เลย! แต่กระนั้นพระเยซูก็ทรงเตือนเราด้วยว่า: “จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน” (ยอห์น 15:4) ต่อพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เราจะพบความมั่นใจในความรอดของเราได้